BOTOX โบท็อกซ์
ก่อนทำ - หลังทำ Botox
ดูภาพเปรียบเทียบก่อนทำ - หลังทำ Botox ของคนไข้ที่รับบริการที่ Malika Clinic by Dr. Ben
Botox โบท็อกซ์ คืออะไร
Botox คือสาร Botulinum toxin type A ออกฤทธิ์ยับยั้งการหลั่งของสารสื่อประสาท ที่มีหน้าที่สั่งงานกล้ามเนื้อให้ทำงาน ดังนั้น เมื่อมีการฉีดสาร Botox เข้าไปบริเวณกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการยับยั้งการหดตัว ของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้ริ้วรอยลดน้อยลง หรือหากฉีดบริเวณกล้ามเนื้อที่มีขนาดใหญ่ เมื่อกล้ามเนื้อลดการทำงาน จึงทำให้กล้ามเนื้อมีขนาดเล็กลงนั่นเอง
ข้อดีของ Botox นอกจากลดริ้วรอยได้แล้ว ยังสามารถป้องกันริ้วรอยที่จะเกิดขึ้นได้ในอนาคตอีกด้วย ดังนั้นนอกจากในแง่ของการรักษาริ้วรอยที่เกิดขึ้นแล้ว ข้อดีของการเริ่มฉีดเลยจะช่วยป้องกันริ้วรอยในอนาคต และทำให้รักษาได้ง่ายกว่า รอริ้วรอยเยอะก่อน ถึงค่อยเริ่มต้นการรักษานะคะ
Botox ฉีดบริเวณไหนได้บ้าง
- บริเวณริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้า เช่น หน้าผาก หางตา หว่างคิ้ว
- บริเวณกล้ามเนื้อเคี้ยวหรือกราม ส่งผลให้ใบหน้าดูเล็กลง
- ฉีดลดการทำงานของเหงื่อ บริเวณรักแร้ มือ และ เท้า
- ฉีดยกกระชับใบหน้า
- ฉีดลดขนาดน่อง
ระยะเวลาการออกฤทธิ์ของ Botox
- โดยปกติสำหรับริ้วรอย จะเริ่มเห็นผล ประมาณ 3-5 วันหลังฉีด และจะตึงเต็มที่ประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีด
- สำหรับกล้ามเนื้อมัดที่ใหญ่ขึ้นมาเช่น กล้ามเนื้อกราม จะเริ่มออกฤทธิ์เต็มที่ประมาณ 4-6 สัปดาห์ค่ะ
**หลังจากฉีด ผลของ Botox จะออกฤทธิ์ต่อไปและคงอยู่ประมาณ 4-6 เดือนหลังฉีดค่ะ**
ยูนิตคืออะไร แต่ละจุดต้องใช้กี่ยูนิต แล้วทำไมเราถึงไม่ควรฉีดน้อยหรือมากกว่าคำแนะนำ?
- บริเวณ หน้าผากจะใช้ประมาณ 10-15 ยูนิต
- บริเวณหว่างคิ้วจะใช้ประมาณ 8-10 ยูนิต
- บริเวณหางตาจะใช้ประมาณ 10-20 ยูนิต
- บริเวณกรามจะใช้ประมาณ 50-70 ยูนิต
- บริเวณน่องจะใช้ประมาณ. 200 - 300 ยูนิต
- บริเวณรักแร้จะใช้ประมาณ 50-100 ยูนิต
สาระน่ารู้ของการฉีด Botox กับหมอเบญ
หมอเบญตอบคำถามยอดฮิตที่ใครๆก็อยากรู้เกี่ยวกับการฉีดโบท็อกซ์
เหตุที่เราไม่ควรฉีดโบทอกที่น้อยหรือมากกว่าคำแนะนำ ข้อแรกที่ควรคำนึงถึงคือ ความเสี่ยงที่อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงมากขึ้น เช่น หากฉีดน้อยไปจะทำให้ริ้วรอยไม่ตึง หรือหากฉีดมากไปในบางจุดอาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาได้ เช่น ฉีด Botox บริเวณหน้าผากมากเกินไป อาจจะทำให้คิ้วตก หรือ ฉีดบริเวณกรามมากไป อาจจะทำให้หน้าดูตอบ หรือ ยิ้มเบี้ยว ไม่เป็นธรรมชาติได้
อีกข้อที่สำคัญเช่นกัน คือ ภาวะดื้อยา ที่เกิดจากการใช้ปริมาณโบทอกที่ไม่เหมาะสมนั่นเอง
ภาวะดื้อโบทอก คือ ภาวะที่ฉีด Botox แล้ว ไม่เห็นผล หรือ ฉีด Botox แล้วระยะเวลาเห็นผลน้อยลง เนื่องจากร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาต่อต้าน Botox เนื่องจากร่างกายมองว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม ภาวะดื้อโบทอกเกิดได้จากหลายสาเหตุเช่นการใช้ยาที่ไม่ถูกต้อง ยาปลอม , การฉีด Botox ถี่ หรือ บ่อยจนเกินไป หรือ ใช้ปริมาณ Botox ไม่เหมาะสมนั่นเอง
ถ้าเกิดภาวะดื้อ Botox ต้องทำอย่างไร โดยมาก หากสงสัยว่าเกิดภาวะดื้อ Botox จะมีการส่งตรวจเพื่อยืนยันว่า ตอนนี้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อต้าน Botox แล้วจริงๆ ปัจจุบันยังไม่มียาที่ช่วยรักษาให้ภาวะดื้อ Botox หายได้ในทันที ข้อแนะนำแรก อาจลองเปลี่ยนยี่ห้อ Botox มาใช้ Botox ที่มีความบริสุทธิ์มากขึ้น ไม่มีสารเติมแต่ง หรือ โปรตีนที่จะทำให้ดื้อยาได้ง่าย วิธีต่อมาคือการงดเข้ารับบริการฉีด Botox เป็นระยะเวลาประมาณ 2 ปี เพื่อให้ร่างกายเลิกสร้างภูมิต้านทานต่อ Botox ก่อนนั่นเอง
ดังนั้นการป้องกันการเกิดภาวะดื้อ Botox นั้นจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด โดยการเลือกรับบริการที่คลินิกที่ได้มาตรฐาน และ ใช้ยาที่ถูกต้อง และผ่าน อย. นะคะ
ระยะเวลาที่แนะนำให้ทำการรักษาซ้ำคือทุก 3-6 เดือนค่ะ
ข้อควรปฏิบัติก่อนเข้ารับบริการฉีด Botox
- เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน แพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีด
- ศึกษาข้อมูล เกี่ยวกับหัตถการที่เข้ารับบริการ
- งดวิตามิน อาหารเสริมที่ส่งผลให้เลือดออกง่าย เช่น วิตามินอี , น้ำมันตับปลา อย่างน้อย 7 วัน
ข้อควรปฏิบัติหลังเข้ารับบริการฉีด Botox
- ขยับมัดกล้ามเนื้อที่ฉีดประมาณ 5-10 นาที เพื่อให้โบทอกถูกดูดซึมได้มากที่สุด ถ้าฉีดริ้วรอยคือการแสดงสีหน้าบริเวณมัดนั้นๆ ถ้าเป็นการฉีดกรามแนะนำให้เคี้ยวหมากฝรั่งหลังฉีดประมาณ 10-15 นาที
- หลีกเลี่ยงความร้อนเช่น การเข้าซาวน่า เลเซอร์ หรือนวดหน้าบริเวณที่ฉีด 1-2 สัปดาห์
- งดก้มศีรษะ หรือ นอนราบหลังฉีด 4-6 ชั่วโมง
- สามารถออกกำลังกายเบาๆได้ แต่ประเภทการออกกำลังกายที่ทำให้เลือดสูบฉีดมากควรเลี่ยงประมาณ 1-2 สัปดาห์
- งดแอลกอฮอล์ สูบบุหรีหลังฉีด 1-2 สัปดาห์